Wednesday, 8 May 2024
Esan Time Team

ร้านป้ายหาเสียงเริ่มกลับมาคึกคัก

วันที่ 5 เมย. 2566 ร้านป้ายหาเสียงเริ่มกลับมาคึกคัก หลังเงียบเหงามานาน โดยบรรยากาศที่ร้านป้ายแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลเมืองเลย ซึ่งหลังจากมีการเปิดรับสมัคร และได้เบอร์ผู้สมัครกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้สมัครก็ต่างพากันเช็คร้านเพื่อทำป้ายหาเสียง

 

เจ้าของร้านกล่าวว่า ช่วงนี้ ร้านเริ่มกลับมาคึกคัก ออเดอร์มีเข้ามามากกว่าช่วงเลือกตั้งครั้งก่อน ซึ่งเมื่อวานมีประมาณ 300 ป้าย และช่วงบ่ายอีกประมาณ 400 ป้าย โดยทางร้านจัดทำแบบครบวงจร ตั้งแต่ออกแบบ ปริ้น ติดโครงไม้ พร้อมติดตั้งให้สำเร็จ

 

ที่มา ThaiPBS

รวมไทยสร้างชาติ ส่ง ส.ส. ครบ 133 เขต

นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) รับผิดชอบภาคอีสาน เปิดเผยว่า การสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เขตวันแรกในพื้นที่ภาคอีสานจำนวน 133 เขตเลือกตั้ง พรรครวมไทยสร้างชาติยื่นสมัครแล้ว 129 เขตเหลืออีก 4 เขตเลือกตั้งกำลังรอฤกษ์จะไปสมัคประกอบด้วย เขต 4 กาฬสินธุ์ เขต 6 สุรินทร์ เขต 3 หนองคาย และ เขต 6 อุดรธานี โดยได้รับคำยืนยันจากผู้สมัครอีก 4 เขตว่าจะไปสมัครตามวันเวลาที่แจ้งไว้แน่นอน

 

นายวิทยา กล่าวว่า หลังจากผู้สมัครของพรรครวมไทยสร้างชาติได้เบอร์แล้วต่างลงพื้นที่ไปหาเสียงทันทีเพื่อให้ชาวบ้านได้รับทราบว่าผู้สมัครแต่ละคนเบอร์อะไร จากนี้คงจะหาเสียงได้สะดวกขึ้นเนื่องจากมีเบอร์แล้ว ทั้งนี้ ได้กำชับให้ผู้สมัครแต่ละเขตเลือกตั้งทั่วภาคอีสานได้เร่งลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องให้ประชาชนเลือกทั้งผู้สมัครระบบเขตเลือกตั้ง และปาร์ตี้ลิสต์ เท่าที่ได้ลงสัมผัสพื้นที่พบว่ากระแสความนิยมลุงตู่ไม่เสื่อมคลายมีแต่เพิ่มขึ้นทุกวัน

 

“ ช่วงเวลาที่เหลือจนถึงวันเลือกตั้งได้กำชับให้ผู้สมัครของพรรคเร่งนำนโยบายของพรรคที่ทําแล้ว ทําอยู่ และทําต่อไปขยายผลเพื่อสร้างการรับรู้ของประชาชนให้มากที่สุด โดยเฉพาะโครงการต่างๆที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลลุงตู่นำมาสู่การพัฒนาในด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม แม้กระแสลุงตู่จะดีวันดีคืนแต่ก็อย่าชะล่าใจ หรือประมาทไม่ลงพื้นที่อาจจะสอบตกได้”รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว.

 

ที่มา ไทยโพสต์

ออกแคมเปญไล่นักท่องเที่ยว

ในขณะที่หลายประเทศในโลก พยายามอัดแคมเปญส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในบ้านเยอะๆ เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ แต่ก็มีบางประเทศที่ทำตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ถึงขนาดออกแคมเปญไล่นักท่องเที่ยว โดยเจาะจงไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดล่าง ที่เข้ามารบกวน ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของเมือง

 

อย่างกรุงอันสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ตอนนี้มีแคมเปญใหม่ล่าสุด ที่ขึ้นป้ายบิลบอร์ด ไล่นักท่องเที่ยวกันซึ่งๆหน้าว่า "หากคุณกำลังวางแผนเที่ยวแบบหัวราน้ำ ที่อัมสเตอร์ดัมอยู่หล่ะก็ ขอให้คิดใหม่ เพราะเมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์แห่งนี้ไม่ต้อนรับพวกคุณ"

 

นอกจากนี้ยังมีการทำคลิปโฆษณา จำลองเหตุการณ์ตำรวจจับนักท่องเที่ยววัยรุ่นที่เมา โวยวายตามสถานบันเทิงยามค่ำคืน ชาวต่างชาติที่เสพยาเกินขนาดจนต้องหามส่งโรงพยาบาล หรือนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาโรงแรมถูก ๆ ในอัมสเตอร์ดัมเพื่อมาหาเพื่อนสายปาร์ตี้เอาดาบหน้าที่อัมสเตอร์ดัม พร้อมขึ้นคำเตือนว่า "อยากมาลองเมาเละที่อัมสเตอร์ดัม = โทษปรับ 140 ยูโร + ติดประวัติอาชญากรรม?"

 

นาย โซฟอัน มบาร์กี รองผู้ว่าการกรุงอัมสเตอร์ดัม ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแคมเปญ "Stay Away - ไปให้ห่างจากอัมสเตอร์ดัม" ว่า จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าชาวกรุงอัมสเตอร์ดัม ไม่อยากได้นักท่องเที่ยว เพียงแต่เราไม่ต้องการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ไร้คุณภาพ มีเป้าหมายเพียงเพื่อมาหาที่เมา ที่เสพ และอาละวาด เสียงดังจนชาวบ้านเดือดร้อน เรายอมจำกัดการเติบโตด้านการท่องเที่ยวดีกว่า เพื่อแลกกับบรรยากาศเมืองที่น่าอยู่

 

สิ่งที่น่าแปลก แต่จริง ก็คือ กลุ่มเป้าหมายหลักที่ทำให้ทางการอัมสเตอร์ดัมต้องหาทำแคมเปญไล่นักท่องเที่ยวในครั้งนี้ คือกลุ่มนักท่องเที่ยวชายชาวอังกฤษ อายุตั้งแต่ 18-35 ปี ที่หลายครั้งพบว่ามา สร้างปัญหาเมื่อข้ามฝั่งมาเที่ยวที่เนเธอร์แลนด์

 

และกรุงอัมสเตอร์ดัม เองก็มีชื่อเสียงโด่งดังในทางลบว่าเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาแสวงหาความสำราญ เนื่องจากมีซ่องโสเภณีที่ถูกกฏหมาย กัญชาเสรี ที่สามารถหาเสพได้ง่ายตามร้านคาเฟ่กัญชาที่มีอยู่ทั่วไปในเมือง แต่เมื่อมีนักท่องเที่ยวที่กลุ่มนี้มากๆเข้า ก็สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ชาวเมือง และทำให้บรรยากาศของเมืองเสียไป

 

ทางการอัมสเตอร์ดัมจึงวางแผนที่จะปรับปรุงภาพลักษณ์ของเมืองใหม่ทั้งหมด โดยออกกฏ ข้อห้ามในการสูบบุหรี่ ยาสูบตามท้องถนน ลดการจัดปาร์ตี้คนโสด หรือกิจกรรมตระเวณผับแบบหัวราน้ำ อีกทั้งยังวางแผนที่จะย้ายซ่องโสเภณี และ ธุรกิจทางเพศกว่า 100 แห่งไปอยู่ชานเมืองในเร็วๆนี้

 

กรุงอัมสเตอร์ดัม เคยต้อนรับนักท่องเที่ยวมากกว่า 20 ล้านคนต่อปี แต่ทางการยอมที่จะปรับลดเป้าหมายนักท่องเที่ยวลง หลังจากที่มีการปรับปรุงภาพลักษณ์ โดยขอเน้นเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชั้นดีเพียงแค่ 10 ล้านคนต่อปีก็พอ แต่มีความยั่งยืนในธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวมแบบระยะยาวจะดีกว่านั่นเอง

 

อ้างอิง

 

Euro News

 

ลุงป้อมทำเมนูสุดพิเศษ

วันนี้ (2 เมษายน 2566) เวลา 11.00 น. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้โชว์ทำกุ้งกระเทียมเพื่อรับประทานเป็นอาหารกลางวัน พร้อมกับทีมงานใกล้ชิด

 

โดยปกติที่ผ่านมา พลเอกประวิตร ก็ชอบที่จะทำอาหารทานและเลี้ยงทีมงานใกล้ชิดโดยทุกคนที่ได้รับประทานจะติดใจฝีมือของพลเอกประวิตรและต้องขอมาลองเมนูอื่นๆอีก

 

ในวันนี้ ขณะทำอาหารซึ่งเป็นกุ้งกระเทียม พลเอกประวิตร มีสีหน้ายิ้มแย้มและอารมณ์ดีด้วยความชอบและรักในการทำอาหาร

 

พลเอกประวิตรกล่าวว่า เมนูนี้เป็นเมนูที่บิดาของพลเอกประวิตรมักจะขอให้ ตนเองทำให้คนในครอบครัวทาน เพราะพลเอกประวิตรทำได้อร่อย จนกลายเป็นเมนูของความรัก ความผูกพันในครอบครัวจนถึงวันนี้

 

โดยในวันอาทิตย์นี้พลเอกประวิตร ได้ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นยี่ห้อมหานครพิมพ์ลวดลายสุดเท่ทั้งตัว สะท้อนความเป็นไทยแบบยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี เป็นลายกุ้ง โดยระบุคำว่า “foodie” ซึ่งแปลว่า นักชิม และคำว่า “good test good quality” ซึ่งหมายความว่า รสชาติดี คุณภาพดี เข้ากับการทำอาหารในวันนี้ เป็นวันอาทิตย์สบายๆ สไตล์ลุงป้อม

 

 

นายอนุทินกล่าว

วันที่ 2 เมษายน นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า วันที่ 3 เมษายน 2566 จะเดินทางไปที่อาคารยิมเนเซียม สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดนครราชสีมา เพื่อร่วมให้กำลังใจ พบปะประชาชนที่มาให้กำลังใจ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 16 เขตเลือกตั้ง

 

นายอนุทินกล่าวว่า การสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ พรรคภูมิใจไทย ทำตามกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อกำหนด ครบถ้วน ผ่านกระบวนการคณะกรรมการสรรหา (ไพรมารี) โดยในจังหวัดนครราชสีมา ส่งผู้สมัครจำนวน 16 เขตเลือกตั้ง ประกอบไปด้วย

 

เขต 1 นางสาวเดือนดารา อินทรกำแหง

เขต 2 นายชูชาติ ประสาทไทย

เขต 3 นายพงศ์พัฒน์ จิตตานุรักษ์

เขต 4 นายมนัส ศรีบงกช

เขต 5 นายจักรกฤช ผาสุขมูล

เขต 6 นายสมชาย ภิญโญ

เขต 7 นายสหรัฐ ชัยพัฒนปรีดากูล

เขต 8 นายยตนะ เตียรวัฒนศรี

เขต 9 นายพลพีร์ สุวรรณฉวี

เขต 10 นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์

เขต 11 นายพรชัย อำนวยทรัพย์

เขต 12 นายสมศักดิ์ พันธ์เกษม

เขต 13 นางสาวตติญารัต ใจสูงเนิน

เขต 14 นายมานิธ จันทรวราภร

เขต 15 นายวิสิทธิ์ พิทยาภรณ์

เขต 16 นายสุชาติ ภิญโญ

 

หลังจากสมัครรับเลือกตั้งเสร็จแล้ว นายอนุทินและคณะผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. จะเดินทางไปสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และศาลหลักเมืองจังหวัดนครราชสีมา เพื่อขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์

 

นายอนุทินกล่าวว่า เชื่อมั่นว่าประชาชนได้ประโยชน์จากสิ่งที่พรรคภูมิใจไทย ได้ทำงาน 4 ปีที่ผ่านมา “พรรคภูมิใจไทย พูดแล้วทำ” มีผลงานเป็นรูปธรรมจำนวนมาก และเราเข้าสู่สนามเลือกตั้งในครั้งนี้ 2566 ด้วยการนำเสนอนโยบายที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชน

 

นักเคลื่อนไหวอิสระ บุกไปป่วนเวทีพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวาน (1 เม.ย.)

หลังจากที่กลุ่ม นางสาวทานตะวัน ตัวตุลานนท์ (ตะวัน) และ นางสาวอรวรรณ ภู่พงษ์ (แบม) นักเคลื่อนไหวอิสระ บุกไปป่วนเวทีพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวาน (1 เม.ย.)

 

โดยพยายามบุกเข้ามาในบริเวณหน้าเวทีปราศรัย พยายามที่จะดันเข้าไปให้ได้ จนกระทั่งเกิดความรุนแรงขึ้น โดยมีการชกต่อยกันระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกับมวลชน เกิดความวุ่นวาย และสร้างความตกใจให้กับประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัย

 

ชาวเน็ตได้ตั้งข้อสังเกตจากภาพที่ปรากฎอยู่ในคลิป จะมีผู้หญิงอ้วนเสื้อสีฟ้าใช้ถุงดำคลุมหัวเพื่ออำพราง ร่วมทำกิจกรรมด้วย ทราบภายหลังคือ นส.วีรดา (ทนายเฟิร์น) คงธนกุลโรจน์ เป็นทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มาโป๊ะแตก ตอนหน้าร้านแมคโดนัล ราชดำเนิน เปิดตัวว่าเป็นทนาย ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายสืบสวน

 

นพ.วรงค์ กล่าวว่า ต้องฟ้องประชาชนว่า

นพ.วรงค์ กล่าวว่า ต้องฟ้องประชาชนว่า ผลประกอบการโรงไฟฟ้าเอกชนปีที่ผ่านมากำไรเป็นหมื่นล้าน ขณะที่ กฟผ.เป็นหนี้กว่าแสนล้าน ต้องซื้อไฟฟ้าจากเอกชนราคาแพง แล้วมาเก็บค่า FT ขึ้นค่าไฟฟ้ากับประชาชน ขณะที่โรงไฟฟ้าจากพืชพลังงานต้นทุนไม่ถึง 1 บาท ซึ่งตอนนี้มีอยู่หลายโรง แต่กระทรวงพลังงานกลับไม่เปิดรับซื้อ ตั้งข้อสังเกตว่า กระทรวงพลังงานต้องโง่และโกง ถึงปล่อยให้ค่าไฟเป็นภาระของประชาชน 

นพ.วรงค์ กล่าวยืนยันว่า ไฟฟ้าราคาถูกทำได้ ทุกวันนี้เกษตรกรทำนามีแต่หนี้ แต่หากแบ่งที่นามาทำแปลงหญ้าเนเปีย รัฐบาลประกันกำไรให้ 10,000 - 14,000 บาท/ไร่/ปี และนำมาผลิตไฟฟ้าทำให้ค่าไฟเหลือหน่วยละ 2.50 บาท แก๊สหุงต้ม ถังละ 250 บาท ปุ๋ยยูเรียกระสอบละ 750 บาท 

นพ.วรงค์ กล่าวว่า 
ต้องสู้กับกระทรวงพลังงาน ที่ไปเอื้อนายทุน แล้วนายทุนก็เอาเงินไปให้พรรคการเมือง จึงไม่มีพรรคการเมืองไหนพูดเรื่องนี้ แต่ไทยภักดีไม่รับเงินจากนายทุนผูกขาด ต้องการแก้ปัญหาประชาชนให้ได้อย่างยั่งยืน ไม่ทำนโยบายแบบฉาบฉวย พรรคการเมืองอื่นเวลาหาเสียง เช่าโรงแรม สถานที่ใหญ่โต ประชาชนต้องเข้าไปหา แต่ไทยภักดี มาหาประชาชนถึงหมู่บ้าน แม้กระทั่งคอกวัวก็เป็นเวทีหาเสียงได้ การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญ ถ้าประชาชนเลือกพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนนายทุน พี่น้องเกษตรกรก็เป็นหนี้เหมือนเดิม 

“วันนี้พี่น้องเกษตรกรต้องมาช่วยไทยภักดี ยืนยันขณะนี้ในหลายพื้นที่พี่น้องเกษตรกรตื่นรู้มากขึ้น อยากเรียกร้องพี่น้องมาร่วมกับไทยภักดี ปฏิวัติประชาชนด้วยคูหาเลือกตั้ง กาพรรคไทยภักดีทั้ง 2 ใบ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตไปสู่จุดที่ดีขึ้น ปลดหนี้ภายใน 3 ปีแน่นอน” นพ.วรงค์ระบุ

ทั้งนี้พรรคไทยภักดีส่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ครบทั้ง 10 เขต ประกอบด้วย เขต 1 นายชัย ภูษาจันทร์ เขต 2  นายประยุทธ ไขมีเพชร เขต 3 นายชูชัย พลวัน เขต 4 นายสุรพรชัย ภูมอินทร์ เขต 5 พ.อ.ปรมะ เรืองสูงเนิน เขต 6 นายปริวัชร มณีเติม เขต 7 นายสกล เหล่าบุรี เขต 8 นายธนาศักดิ์ เฉลิมสิทธิวงศา เขต 9 นายสันติ โรจน์สุกิจ และเขต 10 นายธเรศ ศรีประดู่

พร้อมเป็นนายกฯ ‘หมอวรงค์’ ส่ง ส.ส. ลงศรีสะเกษ ครบทั้ง 9 เขต

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี จรยุทธ์จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวานนี้ ( 31 มี.ค.) เพื่อเปิดตัว 9 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พร้อมปราศรัยนโยบายพรรค

 

นพ.วรงค์ กล่าวว่า ไทยภักดีมาด้วยหัวใจ บุกหาประชาชนในพื้นที่หมู่บ้าน เพื่อนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาภาระค่าครองชีพ ปลดหนี้เกษตรกรภายใน 3 ปี ไทยภักดีเป็นพรรคเดียวที่จะทำให้ค่าไฟฟ้าเหลือหน่วยละ 2.50 บาท ค่าแก๊สหุงต้ม ถังละ 250 บาท ปุ๋ยยูเรียกระสอบละ 750 บาท อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงเดือนละ 100 บาท เพราะไทยภักดีจะสู้กับทุนผูกขาด ปฏิวัติโครงสร้างการผลิตพลังงานครั้งใหญ่ ด้วยการผลักดันนโยบายปลูกพืชพลังงาน เพื่อผลิตไฟฟ้า แก๊สหุงต้ม ปุ๋ยยูเรียราคาถูก โดยรัฐรับประกันกำไร 10,000-14,000 บาท/ไร่/ปี

 

นพ.วรงค์ กล่าวว่า นโยบายพืชพลังงาน รัฐบาลเป็นผู้ลงทุนและสามารถสร้างรายได้ ลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ยืนยันไม่ใช่การขายฝัน แต่เป็นเรื่องของนวัตกรรมเทคโนโลยีที่พรรคไทยภักดีมี ซึ่งการจะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้คนศรีสะเกษต้องลุกขึ้นสู้ ปฏิวัติประชาชนด้วยคูหาเลือกตั้ง กาพรรคไทยภักดีทั้ง 2 ใบ โดยตนพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นจริง

 

ทั้งนี้พรรคไทยภักดีส่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ ครบทุกเขต ประกอบด้วย

เขต 1 นายประเสริฐ วังเวียง

เขต 2 นายศักดา พลพศักดิ์

เขต 3 นายไพบูลย์ สะอาด

เขต 4 นายภูมินันท์ กัญญาบุตรเขต

5 นายสังวาลย์ นันทวงษ์

เขต 6 นาง วรรณรวี สอนพูด

เขต 7 นายฉลองชัย สมศรี

เขต 8 นายธวัชชัย ไชยมณี

เขต 9 นายยศพนธ์ ศรีใสย์

‘เอ๋ ชนม์สวัสดิ์’ ฮีทสโตรก หมดสติ ขณะซ้อมแข่งรถ ที่สนามบุรีรัมย์ ถูกหามส่งรพ.ด่วน ‘อนุทิน’ รุดเยี่ยม

วันที่ 31 มี.ค.2566  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และนักธุรกิจชื่อดัง ได้ถูกนำตัวส่ง รพ.บุรีรัมย์อย่างเร่งด่วน ด้วยอาการฮีทสโตรก หรือ โรคลมแดด เนื่องจากอากาศร้อนจัด ขณะซ้อมแข่งรถยนต์ที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเตรียมแข่งขันในเดือนหน้า ขณะนี้รักษาตัวอยู่ในห้อง ไอซียู.อาคารเฉลิมพระเกียรติ รพ.บุรีรัมย์ โดยมีทีมงานและผู้บริหารของทางสนาม เดินทางมาเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ส่วนครอบครัวและญาติกำลังอยู่ระหว่างเดินทาง

นพ.ภูวดล กิตติวัฒนาสาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบุรีรัมย์ ให้ข้อมูลว่า คนไข้ได้ถูกส่งตัวเข้ามารักษาที่ รพ. ด้วยอาการหมดสติ คาดว่าน่าจะเกิดอาการฮีทสโตรก เนื่องจากภาวะอากาศร้อนจัด ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาสาเหตุ และอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ตอนนี้รู้สึกบ้างไม่รู้สึกตัวบ้าง ซึ่งแพทย์ก็ทำการรักษาอย่างเต็มที่

สำหรับโรคฮีตสโตรก หรือลมแดด เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป จนทำให้ความร้อนในร่างกาย (core temperature) สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส อาการที่พบได้เบื้องต้น ได้แก่ เมื่อยล้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน วิตกกังวล สับสน ปวดศีรษะ ความดันต่ำ หน้ามืด ไวต่อสิ่งเร้าง่าย และยังอาจมีผลต่อระบบไหลเวียน ซึ่งอาจมีอาการเพิ่มเติมอีก ได้แก่ ภาวะขาดเหงื่อ, เพ้อ, ชัก, ไม่รู้สึกตัว, ไตล้มเหลว, หายใจเร็ว, หัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจเกิดอาการช็อคหมดสติ และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

เมื่อเวลา 21.26 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่ นายชนม์สวัสดิ์ ถูกหามส่งโรงพยาบาลบุรีรัมย์ โดยอาการฮีทสโตรก ว่า ขณะนี้ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลบุรีรัมย์ ยังไม่ได้ส่งตัวเข้ามากรุงเทพมหานคร ตามกระแสข่าวลือ

เมื่อถามว่า นายชนม์สวัสดิ์ รู้สึกตัวหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตอนนี้ ใช้หมอหัวใจ ดูอยู่ใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ตนก็ดูอยู่อย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีสัมพันธ์ เป็นพ่อดองกันด้วย

ล่าสุดในโซเชี่ยล ได้มีบรรดานักแข่งรถ คนในวงการทั้งธุรกิจและการเมืองโพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความเสียใจต่อการจากไปอย่างกะทันหันของ เอ๋ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม แล้ว

ทีมเศรษฐกิจเขาดี บิ๊กป้อม ลั่น ทีมเศรษฐกิจเราดี ชูแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทำได้ทันที

วันที่ 30 มีนาคม 2566  พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร.พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมดูแลการเลือกตั้ง ส.ส.กทม.และแกนนำภาคร่วมงานพร้อมเพรียง และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ  จัดกิจกรรม “เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต ทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัครสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พร้อมเปิดนโยบายพรรคพลังประชารัฐ”  ร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 400 เขตทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ที่จะนำนโยบายของพรรคที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ผ่านกลไกนโยบายที่พรรคจะนำเสนอ ทั้งทางด้านสวัสดิการประชารัฐ สังคมประชารัฐ และเศรษฐกิจประชารัฐ ที่มีเป้าหมายให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน  มั่นใจได้ว่าทุกนโยบายพร้อมทำได้ทันทีเมื่อได้เป็นรัฐบาล  ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ได้มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่ยั่งยืน

 

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวบนเวทีว่า สวัสดีครับพี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านวันนี้ ผมรู้สึก อบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง การเลือกตั้งในครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐ พร้อมแล้วที่จะเข้ามารับใช้ประชาชน ผมอยากจะสื่อสารให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทราบว่าคนไทยทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องร่วมชาติ ที่ผ่านมา ประเทศของเราพัฒนาได้ยาก เพราะความขัดแย้ง และความแตกแยก ผมจึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมใจกัน ก้าวข้ามความขัดแย้ง ด้วยความรัก ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจ ซึ่งกันและกัน

 

"ผมพร้อม ที่จะประสานประโยชน์ กับทุกฝ่ายพร้อมที่จะนำ ความรัก ความสามัคคีมาสู่ ประเทศชาติ ของเราคนไทย ต้องรักกันสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรืองให้กับ ประเทศชาติ และประชาชน เมื่อเราก้าวข้ามความขัดแย้งได้เราก็จะมีพลัง ที่จะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน"

 

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พี่น้องครับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของท่านทั้งหลายที่จะให้พรรคใดมาบริหารประเทศ พรรคพลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมายดังที่ได้รับชมในวีดิทัศน์ไป เมื่อสักครู่นี้แล้ว ทีมเศรษฐกิจของเราคิดไว้มากมาย การเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าเราได้คะแนนมาเป็นที่หนึ่งจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ทันที ขับเคลื่อนนโยบายที่ทำไว้ ทั้งนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาท ต่อเดือน การลดราคาน้ำมัน ลดราคาแก๊สและลดค่าไฟฟ้า การดูแลคนไทยทุกช่วงวัย ทั้งเบี้ยประชาชน ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป มารดาที่ตั้งท้องตั้งแต่เดือนที่ 5 จะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายจนถึงวันคลอดและดูแล ทารกหลังคลอด จนถึง 6 ขวบ นโยบายในเรื่องน้ำ มีเราต้องไม่มีแล้ง โดยจะพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทานแก้ปัญหา น้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตรส่งเสริม ตนยืนยันว่ามีเราจะไม่มีแล้งอีกต่อไป ส่งเสริมสิทธิที่ดินทำกิน  มีเราต้องมีที่ดินทำกิน ถ้ามีที่ทำกินไม่มีจน จะก้าวข้ามความยากจนได้ เราจะแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างงาน สร้างรายได้ยกระดับ การศึกษา เศรษฐกิจฐานรากภาคอุตสาหกรรม การคมนาคมและนโยบายอื่น ๆ อีกมากมาย

 

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหายาเสพติด ทั้งการป้องกันปราบปรามและบำบัดฟื้นฟูอย่างจริงจังเราจะปราบปรามผู้มีอิทธิพล อาชญากรรมข้ามชาติการฉ้อโกงออนไลน์ แชร์ลูกโซ่ และหนี้นอกระบบ เราจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราคือครอบครัวเดียวกัน เราจะรักสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียว  “ขอให้เชื่อมั่นผม เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐ และผู้สมัครฯ ทั้ง 400 เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ ผมขอประกาศกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่าพวกเราทำได้ และพร้อมแล้วที่จะรับใช้ประชาชน พี่น้องครับวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. นี้โปรดกาบัตรเลือกพลังประชารัฐ ทั้ง 2 ใบ เลือกทั้งคน เลือกทั้งพรรค เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”พล.อ.ประวิตร กล่าว

 

นอกจากนี้ ภายในงานพรรคพลังประชารัฐ ได้นำเสนอคลิปวิดีโอเกี่ยวกับนโยบายที่จะมุ่งฟื้นเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาครบทุกมิติให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วย “นโยบาย 3 เร่งด่วน 8 เร่งรัด” โดย “3 นโยบายเร่งด่วน”ประกอบด้วย 1. แก้หนี้ประชาชน ผู้ประกอบการ ให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนด้วยวิธีใหม่ ควบคู่สร้างโอกาสใหม่ โดยทำทันที  2. ดูแลสวัสดิการ เสริมทักษะ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  3. การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย 

 

และ “8 นโยบายเร่งรัด” วางรากฐานเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1. ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมภาคการเกษตร วิสาหกิจชุมชนเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว 2. ยกเครื่องภาคอุตสาหกรรมเดิม สู่เศรษฐกิจใหม่ในอุตสาหกรรม S-curve เพื่อขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจ BCG  3. เร่งพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์  ทั้ง อีอีซี และขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ใหม่  4. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทุกระบบทั้งถนน ราง น้ำ และอากาศ รวมถึงพัฒนาโครงเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ การต่อยอดพร้อมเพย์ และเป๋าตังค์ ให้คนไทยเข้าสู่ Digital Economy อย่างแท้จริง 5. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งระดับปวช. ปวส. ให้เรียนฟรีมีงานทำ พัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมแหล่งงาน เพื่อสร้างรายได้ระหว่างเรียน ส่วนแรงงานเดิมจะส่งเสริมเข้าโปรแกรมเพิ่มทักษะให้สอดรับกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่  6. ปฎิรูประบบราชการ แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพื่อส่งเสริมให้เกิดเอสเอ็มอีที่มีความเข้มแข็ง 7. ปฏิรูประบบงบประมาณ กระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น สู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อเข้าสู่งบประมาณสมดุลในระยะยาว เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง ที่ตอบสนองความต้องการของพื้นที่ได้อย่างตรงจุด  และ 8. ต่อต้านคอร์รัปชั่นเต็มรูปแบบ สร้างระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เพิ่มโทษนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชันเป็นสองเท่า รวมถึงมีเทคโนโลยีบล็อคเชนที่จะนำมาใช้ในโครงการประมูลภาครัฐขนาดใหญ่ 

 

ทั้งนี้ บรรยากาศภายในงานได้มีประชาชนที่เดินทางมาจากทุกภาคและในกทม.เต็มความจุอัฒจันทร์ โดยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ต่างเดินทักทาย และถ่ายรูปกับประชาชนที่ถือป้ายไฟส่งเสียงต้อนรับว่าที่ผู้สมัครอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมีศิลปินดารา กลุ่มนางงาม,นายแบบ,อินฟลูเอนเซอร์จากหลากหลายอาชีพ ,LGBTQ,กลุ่มนักแข่งเกมส์ อีสปอร์ต มาร่วมรับฟังนโยบายของพรรค พปชร.ด้วย


TRENDING
© Copyright 2022, All rights reserved. Esan Time Thailand
Take Me Top